มาตรการ IMO2020 กับระบบขนส่งทางทะเล


Date:

January 31, 20



มาตรการ IMO2020 กับระบบขนส่งทางทะเล

IMO (International Maritime Organization) คือ องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของสหประชาชาติ จะบังคับใช้กฎเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับมาตรฐานการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อการเดินเรือทางทะเล โดยกำหนดให้เรือขนส่งลดปริมาณการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์หรือกำมะถันเหลือ 0.5% จากปัจจุบัน 3.5% เพื่อลดมลพิษ เนื่องจากภาคการขนส่งทางเรือมีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ระบบนิเวศค่อนข้างมาก โดยกฎเกณฑ์ใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 ซึ่งเรียกกฎเกณฑ์นี้สั้นๆ ว่า มาตรการ IMO2020 หรือ กฎระเบียบเชื้อเพลิงกำมะถัน IMO2020 

การปรับตัวของภาคเดินเรือกับมาตรการ IMO2020
ภาคการเดินเรือจึงต้องปรับตัวขนานใหญ่ให้เข้ากับมาตรฐานที่เข้มงวดขึ้นโดยมี  2 ทางเลือก
1. ติดตั้งตัวดักจับกำมะถัน (Scrubber) บริษัทเดินเรือจำนวนหนึ่งเลือกที่จะติดตั้งตัวดักจับกำมะถัน แต่นั่นก็เป็นวิธีที่เหมาะกับเรือขนาดใหญ่เท่านั้น เนื่องจากระยะเวลาคุ้มทุน จะอยู่ที่ 1-2 ปี ในขณะที่เรือขนาดเล็กจะมีระยะเวลาคุ้มทุนสูงถึง 5 ปี จึงคาดว่าจะมีเพียง 1% ของกองเรือขนส่งทั่วโลกเลือกที่จะใช้วิธีติดตั้ง scrubber นี้
โดยคาดว่าบริษัทส่วนใหญ่จะเลือกใช้วิธีอื่นไปก่อน และติดตามประสิทธิภาพของเครื่อง scrubber รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ที่มาตรการควบคุมเครื่อง scrubber อาจเพิ่มความเข้มงวดในอนาคต เนื่องจากท่าเรือหลักๆ ในหลายประเทศไม่อนุญาตให้ใช้เครื่อง scrubber แบบ open-loop ซึ่งมีราคาถูกแต่จะต้องทิ้งของเสียคือกำมะถันที่เครื่องนี้ดักจับไว้ได้ลงทะเล
2. เปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดขึ้น การเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงในการเดินเรือที่สะอาดขึ้นโดยมีสัดส่วนการปล่อยกำมะถันตามเกณฑ์ของ IMO2020 ที่ไม่เกิน 0.5% เชื้อเพลิงกลุ่มนี้คือ Marine Gas Oil (MGO) และ Very Low Sulfur Fuel Oil (VLSFO) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงในกลุ่มที่เรียกว่า Middle Distillates  โดยบริษัทเดินเรือส่วนใหญ่จะเลือกเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงเหล่านี้ และคาดว่าอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นของเชื้อเพลิงเหล่านี้จะสูงถึง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็น 6% ของอุปสงค์น้ำมันดีเซลทั้งโลก

ราคาน้ำมันในกลุ่ม Middle Distillates มีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ราคาก๊าซในประเทศมีแนวโน้มลดลง
เนื่องจากบริษัทเรือเดินสมุทรส่วนใหญ่จะเลือกเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงกลุ่ม Middle Distillates มากขึ้น จะช่วยผลักดันส่วนต่างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงกลุ่มนี้ให้เพิ่มสูงขึ้น โดยส่วนต่างราคาระหว่างราคาซื้อขายล่วงหน้าตลาดฟิวเจอร์ส (ส่งมอบเดือนมกราคม 2563) ของเชื้อเพลิงประเภท Marine Gas Oil (MGO) กับ High Sulfur Fuel Oil (HSFO) อยู่ที่ 250-300 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน จากปัจจุบันที่ 140 เหรียญต่อตัน
นอกจากนี้ มาตรการ IMO2020 จะมีส่วนในการเพิ่มอุปสงค์ของเรือประเภท Floating Storage Unit (FSU) ซึ่งเป็นเรือที่ใช้ในการเก็บน้ำมันและผสมน้ำมันเพื่อผลิต Very Low Sulfur Fuel Oil (VLSFO) สาเหตุที่อุปสงค์ของเรือประเภทนี้เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากน้ำมัน VLSFO มีราคาถูกกว่า MGO
ผลกระทบอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ ราคา HSFO มีแนวโน้มลดลง เพราะเรือหันไปใช้ LSFO แทน ทำให้ผู้ประกอบการที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มนี้ด้วย เพราะราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยได้กำหนดให้ผูกติดกับราคา HSFO
 
หุ้นไทยที่ได้ประโยชน์จากมาตราการ IMO 2020
1. ไทยออยล์ (TOP) จะได้ประโยชน์มากที่สุด สืบเนื่องจากค่าการกลั่นที่สูงขึ้นในปี 2563 จะสามารถเลือกที่จะยกระดับโรงกลั่นจากการปรับสัดส่วนของผลผลิตที่ได้จากการกลั่นน้ำมัน โดยลดสัดส่วน HSFO และเพิ่มสัดส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงกลุ่ม Middle distillates โดย TOP จะได้ประโยชน์มากที่สุดเพราะจะสามารถผลิตน้ำมันชนิด Middle Distillates ได้สูงที่สุด ตามด้วย สตาร์ ปิโตรเลียม (SPRC) ที่มีโรงกลั่นโดยเฉพาะ และจะเป็นผลบวกอยู่บ้างกับ PTTGC IRPC และ BCP เพราะมีสัดส่วนธุรกิจโรงกลั่นที่เพียง 10% 20% และ 50% ต่อกำไรสุทธิของบริษัท ตามลำดับ หากส่วนต่างค่าการกลั่น (Gross refinery margin/GRM) เพิ่มขึ้น 1-2 เหรียญต่อบาร์เรลในปี 2563 ซึ่งเราคาดว่า ผลกำไรของ TOP จะปรับเพิ่มขึ้น 23-46%
2. พริมา มารีน (PRM)  จะกระตุ้นอุปสงค์ต่อเรือ FSU สำหรับการเก็บน้ำมันและผสมเพื่อผลิต VLSFO โดย PRM คือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเพียงบริษัทเดียวที่มีธุรกิจ FSU ซึ่งธุรกิจนี้คิดเป็น 50% ต่อกำไรทั้งหมดของ PRM ในปี 2562 PRM ได้ขยายกองเรือ FSU เป็น 7 ลำจาก 5 ลำตั้งแต่ไตรมาส 2/2562 ด้วยอัตราการดำเนินงานที่ 100% คาดว่าผลการดำเนินงานของ PRM ในครึ่งหลังของปี 2562 จะได้ประโยชน์จากการขยายกองเรือ ค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
3. บางกอกกล๊าส (BGC) เพราะราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศนั้นอิงจากราคา HSFO ถ้าหากราคาลดลงในปี 2563 จะเป็นบวกต่อกลุ่มผู้ผลิตขวดแก้ว เพราะต้นทุนก๊าซธรรมชาติคิดเป็นสัดส่วน 30% ของค่าใช้จ่ายในการขาย โดย BGC จะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะเป็นผู้ผลิตขวดแก้วโดยเฉพาะและมีส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดในแง่ของกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์ชนิดแก้ว (39% ในปี 2562)

ที่มา  https://forbesthailand.com/commentaries/investment-outlook/%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-imo2020.html